วันจันทร์ที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

ความสำคัญของพระจาตุจอมกิตติ



ตัดตอนมาจาก
เทปสรุปผลการท่องเชียงแสน


ลูกรักทั้งหลายจากรายงานผลการไปนมัสการปูชนียสถานพระธาตุจอมกิตติ และพระธาตุดอยตุง ตลอดจนบ้านเกิดเมืองเดิมที่เราตั้งประเทศไทยของบรรดาลูกรักทั้งหลายซึ่งสถานที่แห่งนี้ เชียงแสน หรือโยนกนคร ในสมัยที่องค์สมเด็จพระชินวรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จมาประทับบนดอยน้อย สมัยนั้นยังเป็นป่าอยู่ไม่ใช่เมือง ยังไม่มีถิ่นฐานบ้านช่องเป็นเมือง มีแต่บ้านเล็กๆ เวลานั้นองค์สมเด็จพระภควันต์ทรงเสยพระเกศาอธิษฐานให้หลุดมา ๓ เส้น (พระเกศาพระพุทธเจ้าปกติไม่มีการร่วงหล่น) แล้วทางอธิษฐานวางพระเกศาลง จมลงไปในหินบนยอดดอยน้อย แล้วทรงพยากรณ์ว่า เขตนี้ต่อไปจะสามารถรักษาพระพุทธศาสนาไว้ได้ถึง ๕,๐๐๐ ปี เราจึงถือว่าสถานที่แห่งนี้มีความสำคัญสำหรับประเทศไทยทีเดียว

สิ่งที่พ่อดีใจมากที่สุดนั่นก็คือ ลูกทุกคนของพ่อเป็นคนดี เมื่อได้รับคำสั่งเพียงวาระแรกให้ปฏิบัติก็พร้อมที่จะปฏิบัติทั้ง ๆ ที่การฝึกพระกรรมฐานในด้านนี้ ลูกทุกคนก็คงจะผ่านไปแล้วไม่เกิน ๑๐ วัน

ท่านที่เป็นเด็กหรือเป็นผู้ใหญ่ก็ตาม ถ้าสิ่งใดเป็นความรู้ใหม่เราก็ถือว่าเป็นศิษย์การรู้ของลูกทุกคนรู้สึกว่า รู้ได้แจ่มใสมาก และก็มีความฉลาดพอ ความฉลาดของลูกในข้อนี้พ่อต้องสรรเสริญคือ การที่ลูกไม่ประมาทไม่ใช้จิตของตนเองเป็นเครื่องรู้ "แต่อาศัยบารมีขององค์สมเด็จพระบรมครูบ้าง อาศัยบารมีท่านแม่บ้าง ท่านปู่ ท่านย่า เป็นต้น ให้เข้ามาช่วยตน อย่างนี้เป็นการทำที่ถูกต้อง"

คนทุกคนถ้าได้ทิพจักขุญาณก็ดี ได้อภิญญาเล็กที่เรียกว่า "มโนมยิทธิ" ก็ดี ถ้าใช้แต่กำลังใจของตนเองภายในไม่ช้าความทะนงตนมันก็เกิด เมื่อความทะนงตนเกิดขึ้นกิเลสก็จะเข้าสิงใจ เมื่อกิเลสเข้าสิงแล้ว อุปาทานมันก็จะเข้าเกาะใจ พออุปาทานเกาะใจตรงนี้แหละทุกสิ่งทุกอย่างมันพลาดจากความเป็นจริงไปหมด

เป็นอันว่า ลูกรักทุคนปฏิบัติตนได้ดีมาก เป็นคนที่น่ารักอย่างยิ่ง เป็นเหตุให้พ่อเพิ่มความรักลูกขึ้นอีกมาก และผลที่ลูกทุกคนรายงานมานี้เป็นที่ถูกใจพ่อมาก เพราะว่าพ่อคิดไม่ถึงว่าลูกของพ่อได้รับคำสั่งเป็นวาระแรก จะมีความสามารถถึงขนาดนี้ ความสามารถอย่างนี้ต้องถือว่า เกือบจะถึงที่สุดในจุดของความสามารถยังขาดอีกนิดเดียวที่วงการสมาธิยังไม่สว่างเต็มที่ แต่ลูกอย่าคิดสลดใจ เพราะว่าวงการสมาธิจะสว่างเต็มที่ได้นั้นต้องเป็นพระอรหันต์ แต่สำหรับพระอรหันต์เองก็มีความสว่างไม่กว้างจะเห็นได้เฉพาะจุด ในเมื่อวงการสมาธิไม่กว้าง พระอรหันต์ท่านทำยังไงจะแนะวิธีให้

อันดับแรก ถ้าเราจะไปทางไหน สมมติว่า เราอยากจะรู้เหตุการณ์ข้างหน้าทั้งหมดที่เรียกว่า อนาคตังสญาณ ในเวลากลางคืนหัวค่ำหรือเช้ามืด เราก็ใช้ฌานควบวิปัสสนาญาณขึ้นนิพพาน กราบทูลถามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หรือว่าจะถามท่านที่เคารพท่านใดท่านหนึ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ท่านปู่ ท่านย่า ท่านแม่ก็ได้ เวลาท่านตอบ ภาพจะปรากฏ อย่างนี้เรียกว่า รู้เหตุการณ์ในอนาคต "จงอย่ารู้เอง จงรู้ด้วยการถาม ไม่มีการผิดพลาด"


ประการที่สอง ถ้าเราไม่ทำอย่างนั้น เราจะไปที่ใดก็ตาม ก่อนออกเดินทางก็จงคิดตั้งจิตอธิษฐาน ขอบารมีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง ถ้ามีอะไรอยู่บ้างในระหว่างทางที่จะผ่านไป มีอะไร มีปริมาณเท่าใด มีจำนวนเท่าใด ขอให้ข้าพระพุทธเจ้าได้เห็นภาพนั้น ได้ด้วยอำนาจบารมีขององค์สมเด็จพระชินสีห์ เพียงเท่านี้เราก็จะรู้หมด แต่การเห็นภาพอย่าลืมถาม ถ้าไม่ถามภาพก็กราบทูลถามสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วเราจะรู้อะไรได้ดีทุกอย่าง

ผลงานของลูกทุกคนพ่อขอชม แต่จงอย่าลืมนะ ถ้าชมว่าดีแล้วจงอย่าเหลิง ถ้าเหลิงเมื่อไรก็เลวเมื่อนั้น

ที่ลูกทุกคนรายงานมาว่า ตัวยังดีไม่พอ ยังต้องอาศัยการศึกษาฝึกฝนต่อไป อันนี้ถูกต้องลูก เพราะลูกยังไม่เป็นพระอรหันต์ และก็จงอย่าลืมว่า "พระอรหันต์ทุกท่าน ท่านก็ไม่เคยคิดว่าท่านดีแล้ว" ท่านยิ่งมีความขยันหมั่นเพียรในการฝึกฝนในเรื่องขันธ์ ๕ และเรื่องของฌานสมาบัติเพื่อความอยู่เป็นสุขของกาย ความจริงกายมันไม่สุข แต่ว่าจิตมันสุขจนกว่าร่างกายนี้มันพังก็จะเข้าถึงคำว่า "นิพพานัง ปรมัง สุขัง นิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง"


ในขณะที่เราเดินทางไปคราวนั้น บรรดาเทวดา และพรหม ตอนจนบรรดาปิยะสหายตั้งแต่ก่อนออกจากวัด ก็ล้อมรอบกันไปหมด ทั้งพื้นแผ่นดินและในอากาศ ดูเหมือนว่าเต็มจักรวาลจะดูแพรวพราวแน่นขนัดเต็มไปด้วยเทวดา และพรหม ตลอดทาง อันนี้เป็นของจริงเพราะว่าเราไม่ได้เกิดกันแต่เพียงชาติเดียว ท่านพวกนั้นเป็นนักรบ ท่านพวกนั้นเป็นไทยเดิม ท่านพวกนั้นเป็นผู้เสียสละเลือดเนื้อเพื่อการทรงอยู่ของบ้านเมือง ในเมื่อท่านเห็นเพื่อนเก่า สหายเก่าไปไหนท่านก็ดีใจให้การอุปการะตามความสามารถ แต่ลูกอย่าไปคิดนะว่า พระพุทธเจ้าก็ดี พระปัจเจกพุทธเจ้าก็ดี พระอรหันต์หรือพระอริยะเจ้าทั้งหลายก็ดี พรหมก็ดี เทวดาก็ดี จะป้องกันทุกสิ่งทุกอย่างได้เสียทั้งหมด ถ้าเป็นเช่นนั้นก็ไม่มีใครในโลกนี้ป่วยไข้ไม่สบาย ไม่มีใครในโลกนี้ทุกข์กายทุกข์ใจ เทวดาช่วยได้หมด

และจงอย่าลืมว่า แม้แต่องค์สมเด็จพระบรมสุคต พระองค์ก็แก่เป็น ป่วยเป็น และก็นิพพาน คือตายเป็น

ในเมื่อท่านเอง ท่านก็เป็นอย่างนี้ได้ ท่านก็ช่วยเราได้เฉพาะจุด จุดที่จะพึงช่วยนั่นก็คือมันเป็นเหตุไม่เกินวิสัย


เป็นอันว่าการเดินทางไปคราวนี้ พ่อขอชื่นชมยินดีในความสามารถของลูกทุกคน และลูกทุกคนมีความสามัคคีกันดีมากเป็นพี่พอใจยิ่งของพ่อ นอกจากคนที่เขาตามเราไปประเภทตามไปดู เราไม่รู้หรอกว่า พวกเราน่ะเป็นพวกกุลี ค่ำไหนนอนนั่น ไม่หวั่นไม่หวาด รักษาเอกราชเสรี คนที่เขาตามเราไปด้วยนี้รู้สึกว่า จะสำรวยมากไปสักหน่อย แต่อย่าไปว่าเขาเลยลูก เพราะว่าใจเขายังเข้าไม่ถึงความดีในพระพุทธศาสนา หรือว่าจิตใจเขายังเข้าไม่ถึงความดีของความเป็นไท ยังไม่รู้จักสภาวะที่โบราณท่านว่า ถ้าลงบันได ๓ ขั้นไปแล้วหรือลงบันไดบ้านไปแล้ว จงอย่าคิดว่าที่นั้น ๆ มีความสุข ความสุขที่เราจะเลือกได้ก็คือบนบ้านของเรา

ลูกรักทั้งหลาย จงรักษาความดีนี้ไว้เหมือนเกลือรักษาความเค็มนะลูก คนที่ร่วมเดินทางไปกับเรามีหลายพวก และพวกที่คอยดักดูเราอยู่ข้างหน้าก็มีหลายพวก พ่อรู้ แม้แต่หน้าเขาพ่อก็เห็น แต่พ่อก็ทำเป็นไม่รู้ ว่าที่เขาไปกับเราเพื่ออะไร ส่วนใหญ่มักอยากจะไปดูการไปดูนี่ก็ดี แต่ทว่าเขาเห็นพิธีกรรมของเราเข้า เขาก็จะหาว่าเราบ้า ๆ บอ ๆ และยิ่งฟังรายงานของลูกเข้ายิ่งแล้วใหญ่ เขาคิดว่าเราเป็นบ้า แต่ความจริงบ้าได้อย่างนี้มันก็น่าบ้า ถ้าลูกบ้า พ่อก็เป็นหัวหน้าบ้า แต่เราบ้าตามคำแนะนำขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า การที่เราบ้าได้แบบนี้ เราก็ควรจะภูมิใจ






แหล่งที่มา : จาก หนังสือ เรื่องจริงอิงนิทาน (พิเศษ)



บ้านอิ่มบุญ

บ้านอิ่มบุญ
กลับหน้าหลัก